อ่านเร็ว เข้าใจ ไม่มีวันลืม [Book Review 2019 #1]
บทความจากเพจ “โตขึ้นกว่าเมื่อวาน”
- ไม่มีสมาธิพร้อมจะอ่าน
- พยายามทำอะไรหลายๆอย่างไปพร้อมกับการอ่าน
- ตะบี้ตะบันอ่านแบบไม่หยุดแม้สมองจะล้า
- จำแบบเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ
เชื่อว่าหลายคนเคยประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ไม่น้อยในระหว่างการอ่านอะไรซักอย่างที่เป็นประโยชน์ จนอาจคิดว่า
หรือเราไม่เก่งความจำ ?
“อ่านเร็ว เข้าใจ ไม่มีวันลืม”
หนังสือเล่มนี้จะช่วยเปลี่ยนมุมมองการอ่านเอาความรู้ของคุณ
สิ่งที่คุณคิดว่า คุณความจำดีหรือไม่ดี อาจจะไม่ถูกต้อง
เพราะมันคือ คุณใช้วิธีการแบบที่ฝึกมาแล้วหรือยัง ต่างหาก
ในเล่มถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ
1) สถานการณ์: เรากลายเป็นคนไม่รู้หนังสือกันอีกครั้ง
การจะประมวลผลความรู้ได้นั้น จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน
การซึมซับ | การวิเคราะห์ |การนำไปใช้
ไม่ว่าจะการเรียน หรือการทำงาน เรามักจะเน้นไปในด้าน การนำไปใช้ มากกว่า
ทำให้เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการซึมซับและการวิเคราะห์มากนัก
ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่าทุกวันนี้เรามีข้อมูลมหาศาลมากๆที่ต้องซึมซับทุกวัน
(เท่ากับหนังสือพิมพ์ 174 ฉบับ ทุกวัน)
แต่เราไม่สามารถอ่านได้ทันตามข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น
ผลก็คือเรามักจะอ่านข้อมูลแบบผ่านๆ หรือไม่ก็ข้ามมันไปเลย
ซึ่งมันทำให้เราพลาดข้อมูลสำคัญๆไปได้
ยังไม่รวมถึงสมาธิของเราที่ไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว
อ่านๆอยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่า…
เอ๊ะ เดี๋ยวต้องพี่อ๋อยที่ออฟฟิศนี่หน่า
อ๊ะ วันนี้อยากกินราดหน้าจัง
ตอนนี้ลิซ่าทำอะไรอยู่น้าาา
หรือสารพัดความคิดที่จู่ๆก็เกิดขึ้นมาทำลายสมาธิโดยไม่รู้ตัว(เอ๊ะ หรือว่ารู้?)
เชื่อเถอะ ว่าเรามีสมาธิกันน้อยมากๆ ซึ่งมันส่งผลต่อความเข้าใจ และความจำด้วย
สมาธิ ความเข้าใจ และความจำเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน
พอสมาธิหลุด สุดท้ายก็ต้องมาเสียเวลาคิดว่าเมื่อกี้อ่านไปถึงไหนแล้วอีก
วนๆมันไปแบบนี้แหละ จนหลายครั้งเราก็ดันเลือกที่จะ ทำหลายๆอย่างพร้อมๆกันเลย
(ซึ่งนั่นก็ทำให้วนลูปความไม่มีประสิทธิภาพในการอ่านได้สุดๆ)
มีสถิติหนึ่งที่น่าสนใจมากจากหนังสือเล่มนี้
ภายใน 1 วันเราจะลืมข้อมูลที่อ่าน/ได้ยินไปแล้ว 70%
และจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ใน 1 สัปดาห์
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะบอกว่า ทุกวันนี้ก็อ่านนะ….. แต่อ่านจากหน้าจอโทรศัพท์
เชื่อไหม ว่านั่นทำให้ประสิทธิภาพลดลงถึง 30 เปอร์เซ็น มาจากการที่แหล่งกำเนิดแสงนั้นอยู่ที่หลังจอ มันทำให้ดวงตาล้าอยู่ไม่น้อย
รวมถึงการเลื่อนจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ มันใช้พื้นที่ของสมองไปถึง 1 ใน 4 เลยทีเดียว
อาจเป็นเพราะเราคิดว่า พอเราได้รับข้อมูลเข้าไปแล้ว สมองจะซึมซับอย่างเร็ว และทำให้เราถ่ายทอดข้อมูลได้ง่าย ซึ่งมันไม่จริง
สิ่งที่จะมาช่วยแก้ปัญหาพวกนี้ คือการหาวิธีใหม่ในการประมวลผล
วิธีที่จะทำให้เราประมวลผลได้เร็ว มีประสิทธิภาพ และง่ายขึ้นกว่าเดิม
มีสมาธิดีขึ้น
ซึมซับข้อมูลได้เร็วและถูกต้อง
จดจำได้ดีและนานขึ้น
ใช้พลังงานน้อยลง
2) วิธี UseClark
วิธีที่จะช่วยให้กระบวนการประมวลผลข้อมูลของเราดีขึ้น
แบ่งออกได้อีกเป็น 8 วิธี ที่จะช่วยเราในมุมที่ห่างกันไป
เป็นเรื่องของวิธีล้วนๆ
ที่เราจำได้ไม่ดี ไม่ใช่เรื่องของอายุ เพศ หรือสติปัญญา
แต่มันมาจากวิธีในการจำของเรายังไม่ได้รับการฝึกฝนมามากพอ
การใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยเรื่องความจำแล้วมันจะช่วยให้เราใช้สมองได้ดีขึ้นกับทุกๆงานด้วย
อุดช่องว่าง
เรามักจะขาดสมาธิจากเรื่องหลักๆ 3 เรื่อง
สิ่งรบกวนภายใน (ความคิดฟุ้งซ่าน)
สิ่งรบกวนภายนอก (โทรศัพท์ เพื่อนร่วมงาน Notification ต่างๆ)
และสิ่งรบกวนด้านเนื้อหา (การคิดแย้งกับสิ่งที่อ่าน)
เพื่อปิดกั้นสิ่งรบกวนเหล่านี้ เราต้องอุดช่องว่างของสมอง
ช่องว่างที่เกิดจากการที่สมองสามารถประมวลผลได้เร็วกว่าสายตาของเราที่อ่านข้อมูล หรือหูที่รับฟังสาส์น
การอ่านให้เร็วขึ้น (ในระดับที่ทำให้เราไม่ว่อกแว่กไปคิดเรื่องอื่น แต่ไม่ได้เร็วจนไม่สามารถเข้าใจข้อมูลได้) จะช่วยอุดช่องว่างให้สมองเราได้
ลองนึกแบบนี้ดูก็ได้ว่า สมองเราสามารถประมวลผลได้ 800–1400 คำต่อนาที
ถ้าเราอ่านแค่ 200 คำต่อนาที สมองก็จะมีช่องว่างให้คิดฟุ้งไปเรื่องอื่น
แต่ถ้าอ่านเร็วเกินไป สมองก็อาจไม่สามารถจำอะไรได้
ทริคหนึ่งที่จะช่วยให้อ่านได้เร็วขึ้นคือมีตัวนำสายตา(ปากกา หรือนิ้ว ไล่ไปทีละบรรทัด) ให้สายตาได้มีตัวนำ จะได้ไม่อ่านกระโดดไปมา และมีสมาธิมากขึ้น
อาจจะดูแปลกแต่โดยปกติแล้วสายตาของเราจะไม่ได้อ่านเป็นเส้นตรงตามบรรทัด
ถ้าไม่มีตัวช่วยนำสายตา มันจะกระโดดข้ามไปข้ามมา
เดี๋ยวก็ไปหน้า เดี๋ยวก็ย้อนกลับ เดี๋ยวก็ไปบรรทัดล่าง แล้วก็ขึ้นไปข้างบนอีก
หรืออาจจะลองแทรกแซงสิ่งรบกวนด้วยการขีดๆเขียนๆเป็นภาพดูก็ได้
การขีดๆเขียนๆเล็กระหว่างที่กำลังรับข้อมูลไปด้วยนั้นช่วยได้
เพราะมันใช้สมองน้อย แต่มากพอจะช่วยสกัดความคิดว่อกแว่กได้
ทำงานทีละอย่าง
เรามักคิดว่าการทำหลายๆอย่างพร้อมกันจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น !
คิดผิดมาก คิดใหม่ได้เลย
เรามักคิดว่า
ถ้าทำหลายอย่างพร้อมกัน 1 นาที + 1 นาที = 1 นาที
แต่จริงๆแล้ว 1 + 1 นาที = 4 ถึง 10 นาทีเลยต่างหาก
นั่นเพราะเราประเมินตัวเองสูงไปว่าสามารถทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันได้
ทั้งที่จริงๆแล้วสมองเราไม่ได้ทำได้ดีขนาดนั้น
เพราะสมองเราทำงานแบบรู้ตัวได้แค่ทีละอย่าง
เรามักคาดหวังว่าจะอ่านหนังสือพร้อมกับเขียนอะไรไปด้วยได้เลย
แต่จริงๆแล้ว พอเราอ่าน เจอจุดสำคัญ เราก็จะหยุดอ่าน หันมาเขียน แล้วก็กลับไปอ่านการสลับไปมาแบบนี้ สมองจะทำงานหนักจนส่งผลต่อสมาธิและความจำ
ลองจัดสรรเวลาใหม่ ทำงานเป็นบล๊อก ทีละ 1 อย่าง เสร็จแล้วค่อยไปทำอีกบล๊อกหนึ่ง
(เช่น อ่านให้จบก่อน 10 หน้า แล้วค่อยมาจดบันทึก)
นอกจากจะไม่เป็นการสลับสมองไปมาเร็วเกินไปแล้ว จะยิ่งทำให้เรามีสมาธิกับมันมากขึ้น
ลืมเรื่องการจำระหว่างอ่านไป แล้วจะจำได้ดีขึ้น
ต่อจุด
ระหว่างการจำข้อความ 2 ข้อความต่อไปนี้
DSP59RKN32QWA9088
TUU22PRA05YUT2557
หลักๆแล้ว สมองเราจะเข้าใจและจำข้อมูลได้ดีขึ้น เมื่อ
- มีการเชื่อมโยงข้อมูลใหม่กับความรู้เดิม
- ได้เห็นภาพรวม เห็นบริบทก่อน
- มีการจัดโครงสร้างของข้อมูล
หนึ่งในตัวช่วยที่ดีมากๆและสามารถตอบโจทย์ทั้ง 3 ข้อนี้ได้คือการบันทึกข้อมูลแบบ
แผนที่ความคิด (MindMap)
เราสามารถใช้แผนที่ความคิดได้กับหลายเรื่อง เช่น
- การสรุปเนื้อหาจากการอ่าน
- บันทึกการประชุมและนำเสนอ
- การระดมสมอง
ใช้สมองเยอะๆ
เรามักคิดว่าเราต้องจำข้อมูลให้ได้ อ่านข้อมูลซ้ำๆ เพื่อที่จะให้สมองเข้าใจและนำไปใช้ได้อัตโนมัติ
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงอีกนั่นแหละ
การคิดแบบนี้จะทำให้เราอ่านข้อมูลแบบเรื่อยเปื่อย สักแต่จะอ่านอย่างเดียว แต่ไม่ได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ในสมองเลย
การใช้สมองเยอะๆในการซึมซับข้อมูลนั้นจะทำให้เราสามารถถ่ายทอดข้อมูลได้ดีขึ้น
ลองอธิบายเนื้อหาที่ได้รับกับเพื่อนๆ หรือลองตั้งคำถามกับเนื้อหาเหล่านั้นดู
มันจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงของเนื้อหากับความรู้เดิมได้มากทีเดียว
อย่างไรก็ตาม อย่าอ่านซ้ำ ทันทีหลังจากอ่านเนื้อหานั้นไปแล้ว
ให้ลองเปลี่ยนมาตั้งคำถามกับเนื้อหาที่อ่านไปดู เพราะมันเป็นการเรียกข้อมูลจากหน่วยความจำ
ให้ผลต่างกันมากถ้าเทียบกับการรับข้อมูลเดิมเข้าไปใหม่
ใช้ภาพ
สมองเรามักจะเก็บภาพได้ดีกว่าคำ
เรียกได้ว่า ภาพก็คือภาษาของหน่วยความจำนั่นแหละ
เหมือนกับที่เราคิดว่า ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้ก็คงสื่อสารกับคนต่างชาติรู้เรื่อง
การใช้ภาพก็ให้ความรู้สึกเดียวกันนี้กับสมองนั่นแหละ
การเปลี่ยนคำ ตัวอักษร หรือตัวเลขให้เป็นภาพ จะช่วยให้เราจำได้ง่ายมากขึ้น
ใช้ความคิดสร้างสรรค์
เราจะจำข้อมูลต่างๆได้ดีขึ้น ถ้ามันมีความโดดเด่นในตัวของมันเอง
มันคือการขยายผลจากการใช้ภาพเพื่อเพิ่มความสามารถในการจำ
สิ่งที่พิเศษไปกว่านั้น คือนอกจากความคิดสร้างสรรค์จะช่วยในเรื่องความจำแล้ว
ความจำก็ยังช่วยในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ได้ด้วยเหมือนกัน
ความคิดสร้างสรรค์มันมาจากการเชื่อมโยงสิ่งที่เรามีอยู่เดิมให้เกิดสิ่งใหม่ๆนั่นแหละ
ยิ่งมีความรู้ให้ดึงมาใช้มาก ก็ยิ่งนำไปสร้างสรรค์ได้มาก
กลับกันถ้าเรามีความรู้น้อย มันก็จะเป็นตัวจำกัดความคิดสร้างสรรค์ของเราเช่นกัน
อย่าคิดว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิด เราสามารถเพิ่มมันได้จากหลายๆวิธี เช่น
- รู้ตัวให้น้อยลง เมื่ออยู่ในโหมดที่อยากสร้างสรรค์ลองตัดตรรกะกับเหตุผลไปบ้าง
- การเดินก็มีส่วนช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้เหมือนกัน
- ความรกของโต๊ะทำงานก็อาจเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้คุณสร้างสรรค์มากขึ้น
หนึ่งในแบบฝึกความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ คือลองหยิบอะไรก็ได้มา 1 อย่าง
แล้วลองคิดดูว่าสามารถนำสิ่งนั้นไปทำอะไรได้บ้าง
อย่าเรียนรู้มากเกินไป
“จำนวนชั่วโมงที่อ่านหนังสือ ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับคะแนนสอบ”
ประโยคนี้น่าสนใจนะ เพราะในช่วงมหาวิทยาลัย หลายครั้งคนที่อ่านหนังสือมากๆ กลับได้คะแนนสอบน้อยกว่าคนที่อ่านหนังสือน้อยอีก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราใช้สมองมากเกินไป
ประสิทธิภาพการทำงานของเรามีอยู่อย่างจำกัด (ประมาณ 48 ชั่วโมงเท่านั้นแหละ)
ถ้าทำงานมากกว่านี้ ประสิทธิภาพของเราจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ปกตอแล้ว เราอ่านหนังสือได้อย่างมากก็แค่ 60 นาทีเท่านั้น
เพราะถ้าอ่านติดต่อกันนานกว่านั้นโดยไม่พักเลย ความเข้าใจในเนื้อหาจะลดลงมากเลยทีเดียว
นั่นก็เพราะสมองอิ่มตัวเกินกว่าที่จะสามารถซึมซับอะไรไปได้
และความสามารถในการประมวลผลของสมอง ก็ทำได้แค่ครั้งละไม่เกิน 7 รายการเท่านั้น
ลองเปลี่ยนมากระจายการเรียนรู้ ลองอ่านเป็นบล็อก บล็อกละไม่เกิน 55 นาทีดู
แต่ก็ไม่ควรเป็นบล็อกที่เล็กไปนะ เพราะสมองเราใช้เวลาบูทเครื่องประมาณ 2–3 นาที
มันจะทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น มีเวลาให้สมองได้พัก ได้ซึมซับข้อมูลก่อน
เทคนิคนี้ยังรวมไปถึงการกระจายการทบทวนด้วย
ลองเปลี่ยนจากทบทวนทันทีหลังอ่านเป็นทบทวนหลังอ่านวันเว้นวันด้วยการดึงมาจากสมองของเราเอง
ให้ความรู้ได้จมลงไปในสมองแล้ว และให้เราได้ลองขุดมันขึ้นมาใช้ดูบ้าง
ยังมีเทคนิคการจดที่น่าสนใจ คือลองจดเฉพาะคำสำคัญจริงๆ (นาม กริยา คุณศัพท์) นอกจากจะทำให้จดได้เร็วขึ้น ยังช่วยให้สมองได้ใช้งานอีกด้วย
3) การนำไปใช้
นอกจากวิธีการรับสาส์นข้างต้นที่จะทำให้เราประมวลผลข้อมูลได้ดีขึ้นแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำไม่แพ้กันคือ การผลิตข้อมูลให้น้อยลง
เขียน Email ให้สั้นลง
จำกัดเนื้อหา
เขียนสรุปให้สั้นลง
เพื่อที่จะได้เหลือแต่ข้อมูลที่สำคัญจริงๆ
มันทำให้เราได้ทำความเข้าใจด้วย ว่าส่วนไหนคือเนื้อหาสำคัญที่เราอยากถ่ายทอดให้คนอื่น
นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจในเล่มอีกมากเลยทีเดียว
ใครที่คิดว่าตัวเองอ่านได้ไม่ดี อ่านแล้วจำไม่ได้
ลองหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาแล้วลองอ่านมันดูครับ
มันอาจจะเป็นใบเบิกทางที่ดีให้คุณหาวิธีเรียนรู้ที่เหมาะกับคุณก็ได้นะ :)